เทรนด์การตลาดที่มาแรงอย่างมากคงหนีไม่พ้น Personalized Marketing หรือ การตลาดเฉพาะบุคคล ที่แบรนด์เล็กใหญ่ต่างหันมาให้ความสนใจและลงทุนในการตลาดรูปแบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นการตลาดที่สามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าประทับใจยิ่งกว่าเดิม
ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจหรือนักการตลาดหน้าใหม่ที่กำลังศึกษาหรือวางแผนทำ Personalized Marketing ในบทความนี้ PRIMO จะพามาทำความรู้จักการตลาดชนิดนี้ให้มากขึ้น
การตลาดแบบ Personalized Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดรูปแบบหนึ่งที่นักการตลาดและธุรกิจจะรวบรวมข้อมูลของลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง กลยุทธ์การตลาดรูปแบบนี้สามารถช่วยสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจว่าแบรนด์นั้นๆ ใส่ใจจริงๆ และรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษสำหรับแบรนด์
หากยังนึกภาพไม่ออก ต้องขอบอกว่าการตลาดแบบ Personalized Marketing มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า One-to-One Marketing ซึ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเพื่อหาความชอบ ความสนใจ และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะส่งแคมเปญการตลาด เช่น สินค้าที่ซื้อ โปรโมชัน ข่าวสารอัปเดต โค้ดส่วนลด ฯลฯ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
ต้องขอบอกว่ากลยุทธ์ดังกล่าวไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่เอี่ยม แต่เป็นรูปแบบการตลาดที่มีมานานแล้วไม่ใช่แค่เทรนด์ประเดี๋ยวประด๋าว อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Personalized Marketing ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะปัจจุบันเรามี MarTech Tool ต่างๆ ที่สามารถเก็บรวบรวม Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ มาใช้งาน จึงทำให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ลูกค้าได้ในจำนวนมากและตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าเดิม อีกทั้งแบรนด์ยังตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์
เชื่อว่านักการตลาดดิจิทัลคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ Hyper-Personalized Marketing มาแล้ว ซึ่งก็คือ การนำเอา Big Data หรือก็คือข้อมูลจำนวนมหาศาล มาวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้า และบริการ เพื่อวิเคราะห์คาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต อาทิ
Hyper-Personalized Marketing สามารถลงรายละเอียดการทำการตลาดเฉพาะบุคคลได้ลึกกว่า โดยอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูล Real-Time และข้อมูลสถิติที่เก็บมาก่อนหน้านั้น ซึ่งอาจเก็บได้จากข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ต การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ข้อมูลการบริโภคจากการใช้ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จาก Smart Device ต่างๆ เป็นต้น
Hyper-Personalized Marketing และ Personalization Marketing มีข้อแตกต่างหลัก คือ ข้อมูลที่นำมาใช้ โดย
เหตุผล คือ ภาพการตลาดในปัจจุบันต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก มีเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ต่างๆ ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป แบรนด์ไหนที่เร็วกว่า ตรงใจกว่า หรือ “คุย” กันรู้เรื่องมากกว่า ก็ย่อมเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเอาใจลูกค้ายากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นธุรกิจจึงต้องใช้ Data ข้อลูกค้า เพื่อเอาใจลูกค้า
อีกหนึ่งประโยชน์ของ Personalized Marketing คือ สามารถสร้าง Customer Experience หรือประสบการณ์ที่พิเศษกว่า ด้วยการใช้ข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของตัวลูกค้าเอง จึงช่วยเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะเจาะจง กระตุ้นให้เกิดคำสั่งซื้อ แถมยังช่วยสร้าง Brand Loyalty มัดใจลูกค้าให้ภักดีต่อแบรนด์ ไม่หันไปหาธุรกิจคู่แข่ง
สุดท้าย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี IoT ซอฟต์แวร์ รวมไปถึงระบบต่างๆ ทำให้การเข้าถึง เก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์ม DMP, CDP หรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าอย่าง CRM ซึ่งทั้งหมดล้วนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลยังช่วยให้ประหยัดเวลาและทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าไม่ว่าจะธุรกิจไหนๆ ก็สนใจทั้งนั้น
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ธุรกิจต้องมีก่อนเริ่มทำ Personalized Marketing คือ ข้อมูล ตั้งแต่ข้อมูลขั้นพื้นฐาน ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ไปจนถึงข้อมูล Big Data ซึ่งปัจจุบัน มี MarTech Tool หลายตัวที่สามารถเก็บข้อมูลได้จากหลายช่องทาง เช่น หน้าเว็บไซต์ โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, LINE OA, TikTok รวมไปถึงแพลตฟอร์ม e-Commerce ต่างๆ
เมื่อรวบรวมข้อมูลของลูกค้าได้แล้ว จากนั้นให้นักการตลาดลองทำ Customer Persona แบบเฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละคน สรุปทัศนคติ ความคิดความชอบ พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการทำแคมเปญต่อไป แม้จะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก แต่การทำ Persona ที่ละเอียดจะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจทำแคมเปญหรือ Loyalty Program สำหรับฐานลูกค้าเดิมได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ต่อมาก็มาถึงขั้นตอนของการทำแคมเปญโฆษณาและโปรโมชันสำหรับลูกค้าในแต่ละ Persona ที่ได้ออกแบบเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำให้ออกมาตรงกับความสนใจ และตอบโจทย์ความต้องการลองลูกค้ากลุ่มนั้นๆ โดยพิจารณาจาก 6R ได้แก่
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การสร้าง Call to Action เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจอยากซื้อสินค้าหรือบริการ การทำสำเร็จจึงจะได้ Reward
ในการทำการตลาดแบบ Personalized Marketing มีหนึ่งสิ่งสำคัญที่คล้ายกับการตลาดดิจิทัลประเภทอื่น คือ การเห็น Response ของแคมเปญ ว่าผลการตอบรับเป็นไปตาม Strategy ที่ตั้งไว้หรือไม่ เช่น Segment นี้มีการซื้อเพิ่มขึ้นตามแคมเปญที่เราควาดหวังและออกแบบ Journey เอาไว้
จะเห็นได้ว่าการตลาดแบบ Personalized Marketing เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เหมาะกับโลกยุคดิจิทัลทุกวันนี้อย่างมาก ด้วย Data ที่ไหลมาเทมาไม่หยุดหย่อน ทำให้แบรนด์นักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาสามารถประโยชน์แก่ธุรกิจ นำข้อมูลลูกค้ามาปรับใช้ในการทำแคมเปญ โฆษณา โปรโมชัน เพื่อนำเสนอสิ่งที่โดนใจลูกค้ามากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น หากแบรนด์มีซอฟต์แวร์ CRM และระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ จะยิ่งช่วยให้ Personalized Marketing ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
สำหรับธุรกิจต้องการเครื่องมือ CRM เข้ามาช่วยทำความรู้จักลูกค้า เพิ่มยอดขาย และพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด PRIMO พร้อมจะให้คำปรึกษา
PRIMO คือ ผู้ให้บริการ Enterprise Loyalty Platform แบบ End-to-End พัฒนาซอฟต์แวร์และระบบ Loyalty Program ที่สามารถรวบรวมข้อมูลสมาชิก และข้อมูลการซื้อของสมาชิกจากหลากหลายช่องทางไว้ในที่เดียว และนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ผ่าน Solution ต่างๆ เช่น การตั้งค่าการให้คะแนน การตั้งค่าระดับสมาชิก การส่งมอบรีวอร์ดแบบอัตโนมัติ และใช้คะแนนแลก โดยไม่ว่าลูกค้าจะสัมผัสกับแบรนด์ผ่านช่องทางออฟไลน์หรือออนไลน์ เช่น LINE OA, Website, Facebook, Marketplace หรือหน้าร้าน ก็สามารถรวบรวมข้อมูลได้แบบ Omnichannel ซึ่งลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกัน (Single Customer View)
ยกระดับการให้บริการ รู้จักลูกค้ามากขึ้น และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลด้วย Enterprise Loyalty Platform จาก PRIMO พาร์ทเนอร์ที่รู้ใจธุรกิจของคุณ
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาและตอบโจทย์ทุกความท้าทาย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและนักการตลาด
Tel.: 02-234-4203
Email: hello@primo.mobi
Chat: https://m.me/primoworld/
และติดตามเรื่องราวของเราได้ที่
Facebook: PRIMO - Enterprise Loyalty Platform
LinkedIn: PRIMO World Co., Ltd.